วันอาทิตย์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2555

แค่เคยเป็น..



ถึงคน เคยเป็นเพื่อน!

ตอนมีรถก็เรียกเช้าเรียกเย็น ชวนเช้าชวนเย็น ว่างเป็นนึกถึง
พอมาถึงวันนี้ ฉันไม่มีรถ เกือบหกเดือนที่ผ่านมา
คนที่เคยเรียกตัวว่าเพื่อน เริ่มหายไป
เพิ่งรู้!! ว่า"ความสบาย"มันซื้อความเป็นเพื่อนของเราได้
ความลำบากคือข้ออ้างมากมายของการไม่เอ่ยชวน

ไม่เป็นไรๆ ฉันพลาดไปแล้ว ที่อาจหาญไปเป็นเพื่อนคนรักสบาย
ต่อไปนี้เชิญเพื่อนตามสบาย ขอมอบตำแหน่งสหายที่เคยเป็นเพื่อน เท่านั้นพอ

เสียความรู้สึกสุดๆ ไม่เป็นไร ต่อไปก็แค่จำไว้
จะไปไหนก็ไปคนเดียว จะไม่ชวนใคร ไม่รอใครชวน  พอกันเสียที!

วันอังคารที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2555

แค่ดิน


อันความเกลียดเบียดใจยามหมดรัก
เพิ่มแรงผลักพรากรักไร้ขุ่นใส
ยามต้องรักรดน้ำใจไม่แชเชือน
แต่ยามเบื่อเชือดเชือนน้ำใจกัน

คิดจะพรวนดินน้อยก้นกระถาง
เพิ่มน้ำเสียงถากถางช่างท้อแท้
โอ้ดินหนอน้อยเหลือไม่ประมาณ
ไม่เจียมตัวเสือกอาจหาญ

ดินเอ่ยดิน


วันพุธที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2555

กินเจวันที่๓ 16/10/2555

กินเจวันที่๓   16/10/2555



เจวันนี้คงต้องอำลาศีล๘ แต่เพียงเท่านี้  ฉันไม่สามารถงดอาหารหลัง6โมงเย็นได้
สาเหตุมาจากหลายประการ  ต้องชิมอาหารหลายอย่างเพื่อเพื่อนหลายคน แค่ศีลข้อ๖ ก็พลาดล่ะ
และศีลข้อ๗ ก็ยิ่งกว่าทำไม่ได้ ต้องฟังเพลงเพื่อเขียนบทสารบัญให้หนังสือเล่มนึง
แม้จะเรื่องงานแต่ด้วยอารมณ์นั้น ไม่อาจเปลี่ยนความหมายของคำว่า"บันเทิง"ไปได้เลย

สรุปคือทำได้เพียง ๖ ข้อเท่านั้น..งั้นก็
กลับมาถือศีล๕อย่างเคร่งครัด  ขอนอนพื้นให้ครบเจเลยแล้วกัน
และกินเจต่อไปตามหลักปฎิบัติ   อย่างน้อยก็เป็นกุศลยิ่งใหญ่
เพื่อใครหลายคนที่ฉันปรารถนาจะส่งบุญไปให้

เจอกับบันทึกเจ วันต่อไปค่ะ

วันพฤหัสบดีที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2555

เดินหน้า เส้นทางเดิม






เดินหน้า..แต่เดินในเส้นทางเดิม 

คงต้องเจอความสุขสักเศษเสี้ยว

อย่างน้อยก็สุขที่ ได้ "เลือกเดิน"



^^* ยิ้มก่อนนอน 

สูดหายใจลึกๆ ก่อนเข้าสู่ภวังค์

คืนนี้จะคิดถึงป็อปปี้เลิฟ 

รักครั้งไหนคงไม่เหมือนรักครั้งนี้อีกแล้ว





ไม่มีครั้งใด ที่ผ่านเส้นทางนั้น แล้วจะไม่นึกถึงเขา

"คนที่แสนดี" ...



วันอังคารที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2555

มิตรภาพสีดำ


มิตรภาพสีดำ
ดึกแล้ว ย่างเข้าวันใหม่อีกแล้ว 
สูดหายใจลึกๆ เริ่มจะไม่ไหวแล้ว รู้สึกตัวเองได้เลยว่าเดี๋ยวนี้ สูดหายใจไม่สุดปอด
วันนี้ไปหาหมอ ตอนหมอบอกให้สูดหายใจลึกๆ ช้าๆ  ตัวงอเป็นกุ้ง 
แค่หายใจยังเจ็บปวดขนาดนี้เลยเหรอ
น้ำตาคลอเบ้า  อยากมีใครสักคนเล่าความเจ็บปวดให้ฟังเหลือเกิน

ฉันลองก้าวออกไปอีกโลกนึง ซึ่งคิดว่า พวกเขาจะหนักแน่นในความเป็นฉัน
แต่... ไม่ได้เป็นแบบนั้นเลย  โลกที่ฉันคิดว่าหนักแน่น บอบบางมากๆ
ฉันแค่ลองทิ้งตัวเศษเสี้ยวของสันดานฉันลงไปเท่านั้น โลกนั้นพังทลาย
อย่างที่ฉันไม่น่าให้อภัยตัวเอง  ฉันมองผิดไป  ฉันมองโลกกว้างเกินไป
ลืมไปว่า ทุกคนมีศูนย์จักรวาลเป็นของตัวเอง
ลืมคิดไป ว่าพวกเราเพิ่งรู้จักกัน  ใครๆก็ต้องนำสิ่งดีมอบให้แก่กัน
แต่ฉันดันทะลึ่ง เอาความมืดดำของตัวเองเสนอหน้าก่อน 
สุดท้าย  ฉันทำมิตรภาพที่สวยงามล้มเป็นโดมิโน  
ไม่รู้จะทำยังไง ให้ความใสซื่อ ความประทับใจเหล่านั้นกลับมา
ไม่รู้จะทำยังไง ให้ความอวดดีมันถูกสั่งสอน
จะพยายาม อย่าจริงจังกับโลกใบใหม่  แต่ฉันทำไม่ได้ ฉันรักโลกใบนั้นซะแล้ว
รอยแก้วร้าว รอวันร้าวมากขึ้น  พอเหอะ ..ให้มันจบแบบให้พวกเขาคิดในทางแย่ๆกับฉันนะดีแล้ว

เพื่อนฉันบอกว่า  ไม่มีใครเข้าใจใครได้ในเวลาอันสั้นหรอก
"แกคิดดีแล้วเหรอ ที่จะเดินไปที่นั้น  หากแกเข้มแข็ง พวกฉันก็จะดูอยู่ห่างๆ
แต่แกจะไหวเหรอ หากเขามองแกไม่ดี  หากแกแสดงด้านมืดให้เขาเห็นเลย"... 
ตอนนั้นฉันตอบแบบไม่คิด  ฉันพร้อม ฉันรับได้!

เป็นไงล่ะ  วันนี้ นั่งหมองหม่นไม่เป็นท่า
สงสารความรู้สึกคนเหล่านั้นจัง เพราะคนเหล่านั้นคือ "เพื่อน" เพื่อนที่เรียกว่ามิตรภาพแห่งผ้าขาวทีเดียว
ฉันเป็นอาสาฯมาทั้งชีวิต แววตาคงมีแต่ความเศร้าและความสงสาร 
ความหยิ่งทระนง ต่อความอ่อนแอของตัวเองไม่เคยต้องปรากฎให้ใครได้เห็น

ใจฉันไม่แข็งพอ ฉันเอาความทุกข์ไปทิ้งไว้ที่ใครไม่ได้  ต้องเก็บกลับมา คนเหล่านั้นยังเยาว์นัก 
เหมือนจะเจอความลำบากมาเยอะ แต่ยังไม่เพียงพอต่อเรื่องร้ายๆของฉัน  
ไม่ยุติธรรมถ้าจะให้เขาช่วยแบกความเจ็บปวด  เดินจากมาดีกว่า โลกของฉันไม่มีค่าให้เขาเก็บไว้จดจำ

ลาก่อนมิตรภาพ ที่ฉันประทับใจ และจะไม่มีวันลืม
ฉันดีใจที่ได้ค้นพบเจอ แต่ฉันเสียใจมากกว่า ที่เห็นพวกเธอเจ็บเพราะฉัน
เพียงคำพูดพล่อยๆไม่กี่ประโยค ดั่งสายน้ำกระเฉาะ ร้าวรานโคลงเคลง
ทุกข์ และ ทุกข์ หมองมัว  ฉันขอโทษ.....

ขอโทษที่ทำให้พวกเธอมาเจอ "เนื้อร้าย"อย่างฉัน 

< บันทึกประจำวันที่ ๕ ต.ค. ๕๕ >